วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

17 สถานที่แปลก ๆ ที่ไม่คิดว่ามีในโลก



1. เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เดอะเวฟ (The Wave) ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา
เดอะเวฟ" คือ ภูเขาหินทรายที่ฟอร์มตัวในลักษณะคล้ายคลื่นลาดชัน เกิดขึ้นเมื่อประมาณ 190 ล้านปีก่อนหรือในยุคจูราสสิก เนื่องจากพื้นที่แถบนี้มีความเปราะบางมาก ทางการจึงจำกัดให้เข้าชมได้เพียงวันละไม่เกิน 20 คน และต้องเดินเท้าเข้าไปเกือบ 5 ก.ม. จึงจะถึงดินแดนมหัศจรรย์แห่งนี้



2. Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)
Tessellated Pavement บนเกาะแทสเมเนีย (รัฐหนึ่งในประเทศออสเตรเลีย)
นี่คือภาพลานหินตะกอนบริเวณชายฝั่งที่ Eaglehawk Neck บนเกาะแทสมาเนีย ซึ่งถ้าหากมองเผินๆ จะแลดูคล้ายมีใครนำแผ่นกระเบื้องสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่มาวางเรียงรายริมทะเล (บริเวณขอบสี่เหลี่ยมที่เราเห็นเป็นแนวเส้นตรงนั้น เกิดจากแรงตึงเครียดของผิวโลก ผนวกกับการกัดเซาะอย่างต่อเนื่องของคลื่นและแรงเสียดสีของทราย)




3. หินรูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์
หินรูปทรงประหลาด ในทะเลทรายขาว (White Desert) ประเทศอียิปต์
ทะเลทรายแห่งนี้ตั้งอยู่ใน Farafra Oasis มีลักษณะเป็นสีขาวและครีม ประกอบด้วยกลุ่มหินชอล์ครูปทรงประหลาดขนาดใหญ่มากมาย อันเป็นผลงานของพายุทรายที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว


4. บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring)  ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น
บ่อน้ำพุร้อนสีเลือด (Blood Pond Hot Spring)  ที่เบปปุ ประเทศญี่ปุ่น
น้ำพุร้อนสีเลือด (Chinoike Jigoku)  เป็นหนึ่งในบ่อน้ำพุร้อนชื่อดังของเมืองเบปปุ ในจังหวัดโออิตะ บนเกาะคิวชู สาเหตุที่น้ำพุมีสีเลือดเนื่องจากมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณมากนั่นเอง




5. Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ
Giant's Causeway ที่ไอร์แลนด์เหนือ
Giant's Causeway  เป็นชายฝั่งที่เกิดจากการเย็นตัวของหินภูเขาไฟเมื่อประมาณ 50,000 ถึง 60,000 ปีที่ผ่านมา ก่อให้เกิดหินรูปหกเหลี่ยมและหินแท่งสี่เหลี่ยมกว่า 40,000 แท่ง องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียน Giant´s Causeway เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติมาตั้งแต่ปี ค.ศ.  1986 (พ.ศ. 2529)


6. ทะเลเกลือ (salt flats)  ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย
ทะเลเกลือ (salt flats)  ที่ Salar de Uyuni ประเทศโบลิเวีย
จริงๆ แล้วที่ราบเกลือหรือทะเลเกลือลักษณะนี้มีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทะเลเกลือที่ Salar de Uyuni ของประเทศโบลิเวียนั้น มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมากถึง 10,582 ตารางกิโลเมตร


7. ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน
ป่าหิน (Stone Forest) เมืองคุนหมิง มลฑลยูนาน ประเทศจีน
อุทยานป่าหิน (Shilin National Park) ในเมืองคุนหมิง จัดเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีพื้นที่มากถึง 350 ตารางกิโลเมตร แต่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเพียง 12 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เดิมทีหินปูนเหล่านี้อยู่ใต้ผิวโลก แต่ภายหลังได้ถูกดันขึ้นมาในลักษณะเดียวกับหินงอก เชื่อกันว่าป่าหินแห่งนี้มีอายุราว 270 ล้านปีเลยทีเดียว


8.  ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)
ธารน้ำแข็ง Taylor ใน McMurdo Dry Valleys ที่แอนตาร์คติกา (ขั้วโลกใต้)
ธารน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ มีพื้นที่ส่วนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นสีแดงส้ม ตัดกับน้ำแข็งส่วนอื่นๆ ซึ่งมีสีขาวโพลน เนื่องจากพื้นที่แถบนั้นเต็มไปด้วยออกไซด์ของเหล็ก (iron oxide)  ซึ่งก็คือ "สนิม" นั่นเอง ด้วยเหตุนี้บริเวณดังกล่าวจึงได้รับการขนานนามตามลักษณะทางกายภาพว่า "น้ำตกเลือด"  (Blood Falls)




9. ทะเลสาบสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา
ทะเลสาบสปอท เลค (Spotted Lake) – ประเทศแคนาดา
“สปอท เลค” ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีแร่ธาตุชนิดต่างๆ อาทิ แมกนีเซียม ซัลเฟต, แคลเซียม และโซเดียม ซัลเฟต ในปริมาณเข้มข้นมากที่สุดในโลก แต่น่าเสียดายที่ทะเลสาบแห่งนี้อยู่ในที่ดินของเอกชน นักท่องเที่ยวจึงทำได้แค่มองจากราวรั้วกั้นริมถนนเท่านั้น (ส่วนที่เป็นจุดๆ คือน้ำ นอกนั้นเป็นส่วนของแร่ธาตุนานาชนิด ที่สามารถลงไปเดินสำรวจได้)


10. ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็ค ร็อค (Black Rock Desert) ที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
ทะเลทรายแบล็คร็อค คือ ก้นทะเลสาบที่แห้งสนิท ครั้งหนึ่งดินแดนแถบนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของทะเลสาบในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อว่า "Lahontan" ซึ่งปรากฏอยู่ในสมัย 18,000-7,000 พันปีก่อนคริสตกาล ในช่วงที่ทะเลสาบโบราณแห่งนี้มีระดับน้ำสูงสุด (เมื่อประมาณ 12,700 ปีก่อน) ทะเลทรายแบล็คร็อคเคยอยู่ใต้น้ำที่มีความลึกถึง 150 เมตรเลยทีเดียว




11. ถ้ำคริสตัล (Crystal Cave) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ถ้ำคริสตัล (Crystal Cave) ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
ถ้ำคริสตัล เป็น 1 ใน 240 ถ้ำ (ที่ถูกค้นพบ) ภายในอุทยานแห่งชาติ Sequoia ในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ถ้ำดังกล่าวเป็นถ้ำ "หินอ่อน" ธรรมชาติ ที่ภายในมีอุณหภูมิคงที่ประมาณ 9 องศาเซลเซียส ซึ่งการจะเข้าไปชมภายในถ้ำต้องอาศัยไกด์ทัวร์เป็นผู้นำทางเท่านั้น




12. ทุ่งหินรูปรังผึ้ง Bungle Bungles ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย
ทุ่งหินรูปรังผึ้ง Bungle Bungles ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ประเทศออสเตรเลีย
ทุ่งหินทรายที่มีรูปทรงคล้ายรังผึ้ง หรือ Bungle Bungles นี้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Purnululu  ที่องค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) กลุ่มหินดังกล่าวประกอบด้วยหินทรายและหินกรวดมน ซึ่งเมื่อประมาณ 375-350 ล้านปีก่อนหินเหล่านี้เคยเป็นตะกอนในลุ่มน้ำ "Ord"




13. ภูเขาไฟ Redoubt ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา
ภูเขาไฟ Redoubt ที่รัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา
Redoubt เป็นภูเขาไฟมีพลัง (active volcano) อายุนับพันๆ ปี ที่ยังคงคุกรุ่นและเกิดการปะทุหรือระเบิดขึ้นบ่อยครั้ง  โดยครั้งล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม ที่ผ่านมา 


14. ดินแดนโบราณ คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี
ดินแดนโบราณ คัปปาโดเกีย ประเทศตุรกี
คัปปาโดเกีย ได้รับการประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1985 (พ.ศ. 2528) ดินแดนดังกล่าวมีภูมิประเทศที่แปลกตาซึ่งเกิดจากจากลาวาภูเขาไฟที่ไหลออกมาปกคลุมพื้นที่ เมื่อวันเวลาผ่านไป พายุ ลม ฝน ได้เป็นตัวแปรที่ก่อให้เกิดการแปรสภาพเป็นหุบเขา ร่องลึก เนินเขา กรวยหิน และเสารูปทรงต่างๆ ที่งดงาม บางส่วนมีประชาชนอาศัยอยู่ภายใน


15. ทะเล (สาป) เดือด Boiling Lake ประเทศโดมินิกา (Commonwealth of Dominica)
ทะเล (สาป) เดือด Boiling Lake ประเทศโดมินิกา (Commonwealth of Dominica)
“Boiling Lake” เป็นบ่อน้ำพุร้อนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลก (รองจากทะเลสาป Frying Pan Lake ของประเทศนิวซีแลนด์) มีความกว้างราว 60 เมตร ลึก 59 เมตร อุณหภูมิริมทะเลสาปอยู่ที่ประมาณ 82 – 91.5 องศาเซลเซียส ระดับน้ำภายในทะเลสาปแห่งนี้มีลักษณะขึ้น-ลงตลอดเวลา โดยเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 (พ.ศ. 2549) น้ำในทะเลสาปแห่งนี้ได้แห้งเหือดหายไป และเพิ่งกลับมาอยู่ในระดับปกติอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา




  
16. แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปน
แม่น้ำสีแดง (Rio Tinto) ที่ประเทศสเปน
บริเวณพื้นที่ตามแนวชายฝั่งแม่น้ำ Río Tinto มีการทำเหมืองทองแดง เงิน ทอง และแร่ธาตุอื่นๆ มาตั้งแต่สมัยโบราณ (ราว 5 พันปีก่อน)  ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำดังกล่าวมีค่าความเป็นกรดสูงมาก ส่วนสาเหตุที่น้ำมีสีแดงก็เนื่องมาจากก้อนหินที่อยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ประกอบด้วยธาตุเหล็กในปริมาณเข้มข้นนั่นเอง เหมืองในแถบนี้ถูกปิดมานานนับ 10 ปี แต่เนื่องจากทองแดงมีราคาสูงขึ้น เจ้าของเหมืองจึงมีแผนเปิดเหมืองทองแดงอีกครั้งในปีหน้า


  
17. หุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale de Lua) ที่ประเทศบราซิล
หุบเขาโลกพระจันทร์ (Vale de Lua) ที่ประเทศบราซิล
หุบเขาโลกพระจันทร์ หรือ "the valley of the moon" เป็นที่ราบสูงโบราณที่มีอายุเก่าแก่กว่า 1.8 พันล้านปี โดยพื้นที่ว่างระหว่างก้อนหินจะมีน้ำจากแม่น้ำ San Miguel แทรกอยู่ภายใน ดินแดนประหลาดแถบนี้เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ Chapada dos Veadeiros  ซึ่งองค์การยูเนสโกประกาศให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ที่ผ่านมา


ที่มา : http://www.zazana.com/Story-900/17-id6484.aspx

ภูเขาที่สวยที่สุดในโลก !!!


ภูเขา ที่ สวยที่สุดในโลก ( Mount Fuji )


Mount Fuji ภูเขาฟูจิ เป็น ภูเขาที่สูงที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความสูง 3,776 เมตร เป็น1 ใน 3 ภูเขาฟูจิยังเป็นภูเขาไฟที่ยังไม่สงบ การระเบิดครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 1707 - 1708 ภูเขาฟูจิเป็น 1 ในสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นที่ทุกคนรู้จัก และเป็นสถานที่ยอดนิยมของเหล่าบรรดา นักท่องเที่ยว และ นักปีนเขา และจัดเป็น ภูเขาที่สวยที่สุดในโลก ลูกหนึ่ง

ข้อมูลเกี่ยวกับ ภูเขาฟูจิ 1 ใน ภูเขาที่สวยที่สุดในโลก
เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ
มีความสูงที่ยอดเขา 3,776 เมตร
เป็น 1 ใน 3 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของญี่ปุ่น รวมกับ Mount Tate และ Mount Haku
ภูเขาฟูจิ ตั้งคล่อมอยู่ระหว่างจังหวัด Shizuoka และ Yamanashi และสามรถมองเห็นได้จาก กรุงโตเกียว ในวันที่ท้องฟ้าเปิด
ภูเขาฟูิจิ เป็น ภูเขารูปทรงโคนคว่ำ
บริเวณยอเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ และหนาวเย็นอย่างมาก มีการบันทึกว่าอุณภูมิต่ำสุดเมื่อ กรกฏาคม 2008 ต่ำถึง -38 องสาเซลเซียส

ภูเขาฟูจิ ภูเขา สวยที่สุดในโลก
ภาพภูเขาฟูจิ ในฤดูร้อน

ภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สวยที่สุดในโลก
ภาพภูเขาฟูจิ ในฤดูใบไม้ร่วง

ภูเขาสวยๆ
ภาพภูเขาฟูจิ ในฤดูใบไม้ผลิ

ภูเขา สูงที่สุดในญี่ปุ่น
ภาพภูเขาฟูจิ ในฤดูหนาว

ภูเขาไฟฟูจิ
ภาพ ภูเขาฟูจิขณะพระอาทิตย์ตกดิน ถ่ายจากทะเลสาบ Yamanaka ในถดูใบไม้ร่วง


ภาพ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เมฆจานบิน บนยอดเขาฟูจิ





หมู่เกาะโบรา โบร่า...ทะเลที่สวยที่สุดในโลก


เกาะโบรา โบร่า...
อยู่ในประเทศที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า French Polynesia 
ประเทศนี้เป็นหมู่เกาะอยู่ในทะเลแปซิฟิค


 ถ้าจะเอาให้ง่ายก็คือประมาณว่า
อยู่ใจกลางทะเลไปทางทิศตะวันออกของออสเตรเลียนั่นเอง
บางคนอาจจะเคยได้ยินชื่อตาฮีติ (Tahiti)
ซึ่งก็เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดและมีชื่อเสียงมากที่สุดของประเทศนี้
เกาะ "โบรา โบร่า" เป็นเกาะหนึ่งในหมู่เกาะตาฮิติ
เป็นทะเลที่สวยที่สุดในโลก

วิธีเดินทางสุดยากลำบากสำหรับคนไทยเรา 
เพราะต้องขึ้นเครื่องไปอเมริกา หรือนิวซีแลนด์ก่อน
หากขึ้นเครื่องที่อเมริกาจะขึ้นที่ LA หรือ NY 
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 8 ชั่วโมง หากขึ้นเครื่องที่นิวซีแลนด์
ขึ้นเครื่องที่ ไครเชิร์ก ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง
การเดินทางจากตาฮิติไป โบรา โบร่า
ใช้เวลาในการเดินทางอีก 1 ชั่วโมง(ทางเครื่องบิน) 
คชจ.ในการเดินทางจากเมืองไทยไปเท่าที่เช็คมา
 กรณี back pack ประมาณ 90,000- 100,000 บาท
กรณีไปพัก water บังกาโลอาจต้องใช้ถึง
 150,000-200,000 บาท สำหรับ 7-10 วัน
ค่าใช้จ่ายสูงกว่ามัลดีฟพอสมควรเลยทีเดียว 
 
หากเดินทางจากอเมริกา
ที่นั่นมีแพคเก็จราคาถูกรวมค่าเครื่องบิน
ราคาตั้งแต่ 1,800-3,000 กว่าๆ US Dollar

หมายเหตุ : ขอบคุณที่มาจาก

วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

น้ำตกไนแองการา (Niagara Falls)




น้ำตกไนแองการา (Niagara Falls)



น้ำตกไนแองการา (อังกฤษ: Niagara Falls; ฝรั่งเศส: les Chutes du Niagara) เป็นน้ำตกขนาดใหญ่หลายแห่งประกอบกัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำไนแองการาทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ บนพรมแดนระหว่างประเทศแคนาดากับสหรัฐอเมริกา น้ำตกไนแองการาประกอบด้วยน้ำตกสามแห่งที่แยกออกจากกัน คือ น้ำตกเกือกม้า (Horseshoe Falls บางครั้งก็เรียก น้ำตกแคนาดา) สูง 158 ฟุต, น้ำตกอเมริกาสูง 167 ฟุต, และน้ำตกขนาดเล็กกว่าที่อยู่ติดกัน คือน้ำตก Bridal Veil. แม้น้ำตกไนแองการาจะไม่สูงอย่างโดดเด่น แต่ก็กว้างมาก

น้ำตกไนแองการามีจุดชมวิวที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของทั้ง 2ประเทศมานานกว่าศตวรรษ แม่น้ำไนแอการาไหลมาจากทะเลสาบอีรีไหลผ่านน้ำตกไนแอการาลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอ เมืองสองฝั่งของน้ำตกในสองประเทศนั้นเป็นเมืองแฝด โดยในฝั่งแคนาดาคือ ไนแอการาฟอลส์ ออนตาริโอ ส่วนในฝั่งสหรัฐอเมริกาคือ ไนแอการาฟอลส์ มลรัฐนิวยอร์ก


ทะเลสาบอีรีมองจากฝั่งแคนาดา

ทะเลสาบอีรี (อังกฤษ : Lake Erie) เป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่ผิวน้ำใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ในหมู่ทะเลสาบของภูมิภาคเกรตเลกส์ และใหญ่เป็นอันดับที่ 10 ของโลก แต่อย่างไรก็ตามทะเลสาบอีรีก็เป็นทะเลสาบที่ตื้นที่สุดและมีปริมาตรน้ำน้อยที่สุดในหมู่ทะเลสาบทั้งห้า

ในทางภูมิศาสตร์เป็นพรมแดนธรรมชาติระหว่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา โดยทิศเหนือติดกับรัฐออนแทริโอของแคนาดา ทิศตะวันตกติดกับรัฐมิชิแกน ทิศใต้และทิศตะวันออกติดกับรัฐโอไฮโอ รัฐเพนซิลวาเนีย และรัฐนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา ชื่อของทะเลสาบมาจากชื่อของชนเผ่าอีรี ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่ชายฝั่งทางตอนใต้ของทะเลสาบ

ทะเลสาบออนแทรีโอมองจากฝั่งสหรัฐอเมริกา
ทะเลสาบออนแทรีโอ (อังกฤษ : Lake Ontario) เป็นทะเลสาบหนึ่งในจำนวนห้าทะเลสาบในภูมิภาคเกรตเลกส์ ทางด้านทิศเหนือติดกับรัฐออนแทรีโอ ประเทศแคนาดา ส่วนทางด้านใต้ติดกับคาบสมุทรไนแอการาและรัฐนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบที่เล็กที่สุดและเป็นทะเลสาบเดียวที่ไม่มีพรมแดนติดกับรัฐมิชิแกนของสหรัฐอเมริกา


บรรยากาศของน้ำตกไนแองการา (Niagara Falls‎)
น้ำตกไนแองการ่าแหล่งท่องเที่ยวที่ลือลั่นสนั่นโลก และเป็นแหล่งที่ทำเงินให้กับแคนาดา และสหรัฐ อเมริกา ปีหนึ่ง ๆ นับจำนวนมหาศาล เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เคยที่จะร้างห่างลาผู้คน ไม่ว่าจะเป็น ฤดูหนึ่งฤดูใดก็ตามภาพของน้ำตกไนแองการ่าที่ไหลลงสู่ทะเลสาบออนตาริโอเป็นผืนน้ำขนาดใหญ่ที่ดูเป็นแอ่งนิ่งและสงบ อยู่ในแผ่นดินทางสหรัฐอเมริกา แต่ถัดมาที่มีลักษณะเป็นรูปเกือกม้าขนาดใหญ่กลับเป็นภาพของ กระแสน้ำที่หลั่งทะลักลงจากหน้าผาสูงเป็นแนวกว้าง กระโจนลงสู่พื้นเบื้องล่างและเพราะแรงกระทบ ที่ตกลงไป ส่งผลให้เกิดละอองกระเซ็นสาดไปทั่วบริเวณ เมื่อกระทบกับแสงแดดที่สาดเข้าใส่ละออง เหล่านั้นจะปรากฏเป็นภาพของรุ้งกินน้ำ ประดับบริเวณน้ำตกอยู่ตลอดเวลา ส่วนความมหึมาของน้ำตก ตรงจุดนี้เขาเรียกกันว่า "แคนาเดี่ยนฟอลส์" ส่วนบริเวณชั้นของน้ำตกส่วนล่างลงมา ซึ่งก็เป็นบริเวณ ที่เป็นชั้นน้ำตก ตกลงไปกระทบพื้นล่าง เป็นระดับแนวยาวขนานกันกับชั้นบนมามี ชื่อเรียกว่า "อเมริกัน ฟอลส์
















เที่ยวหมู่เกาะมัลดีฟส์เกาะสวาท หาดสวรรค์

เที่ยวหมู่เกาะมัลดีฟส์เกาะสวาท หาดสวรรค์

       สาธารณรัฐมัลดีฟส์เป็นหมู่เกาะเขตร้อน อยู่ในมหาสมุทรอินเดียทางตะวันตกเฉียงใต้ของศรีลังกา มีการควบคุมดูแลใส่ใจในเรื่องของทัศนียภาพของเกาะ ให้ดำรงเอาไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติให้มากที่สุด ในรีสอร์ทแต่ละแห่งนั้นจึงถูกคัดเลือกเฟ้นในสิ่งที่ดีสุด เพื่อเอาอกเอาใจบรรดาเหล่านักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมของโลก 



      นอกจากนี้ยังมีการจำกัดจำนวนพร้อมทั้งกำหนดเขต จึงทำให้มัลดีฟส์ไม่มีอาคารสูงมาบดบังทัศนียภาพอันงดงาม มัลดีฟส์จึงเป็นเกาะสวรรค์ที่มีธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์ ทั้งยังมีโลกใต้ทะเลที่ยังอุดมสมบูรณ์เต็มไปด้วยปลาและปะการังนานาชนิด ซึ่งถือเป็นสวรรค์ที่นักดำน้ำใฝ่หา 



สถานที่ท่องเที่ยวเกาะมาเล 



      เมืองหลวงของมัลดีฟส์แห่งนี้เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ยังคงความงดงามแม้จะจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว จัดเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและวิถีชีวิต มาเลจึงเป็นทั้งเมืองและเกาะและมีทุกสิ่งที่คุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรือภัตตาคารที่รังสรค์ขึ้นเพื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ ห่างจากเมืองมาเลไปไม่ไกลเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และตลาดสิงคโปร์ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าประเภทหัตถกรรมและของที่ระลึกต่าง ๆ 



นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเดินทางมาที่มาเลเพื่อเป็นจุดแวะพักก่อนจะเดินทางไปยังรีสอร์ทตามเกาะต่าง ๆ 




ที่พักตามเกาะต่าง ๆ 
      นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เดินทางมามัลดีฟส์ต้องการที่จะมาพักผ่อนท่ามกลางแสงแดดและหาดทราย เกาะต่าง ๆ จึงเต็มไปด้วยทิวมะพร้าวและหาดทรายสีขาวบริสุทธิ์ที่ชวนให้หลงใหล เปรียบดั่งภาพฝันที่นักท่องเที่ยวหลายคนแสวงหา เปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าแบบสบาย ๆ ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปบนเปลญวณกับหนังสือดี ๆ สักเล่ม ท่ามกลางบรรยากาศสงบเงียบปราศจากเสียงอื้ออึงของเครื่องยนต์ มีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งเบา ๆ กับสายลมที่พัดผ่านทิวมะพร้าว 






      รีสอร์ทตามหมู่เกาะทั้ง 70 เกาะที่มีอยู่หลายแห่งพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาแบบแพคเกจทัวร์ ทุกแห่งถูกสร้างอยู่บนชายหาดที่งดงาม ตื่นตาตื่นใจไปกับแนวปะการัง ปลาสวยงามหลากหลายชนิด และชีวิตใต้ท้องทะเลอันน่าทึ่งที่อยู่รอบ ๆ เกาะ รวมทั้งแหล่งดำน้ำที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่างซากเรือมัลดีฟส์ วิคทอรี สำหรับผู้ที่เริ่มต้นดำน้ำตามรีสอร์ทต่าง ๆ มีอุปกรณ์ดำน้ำไว้บริการ 





     นอกจากการดำน้ำทั้งแบบน้ำลึกและน้ำตื้นแล้ว มัลดีฟส์ยังมีกีฬาทางน้ำอันหลากหลาย ทั้งการขับเรือ สกีน้ำ บานาน่าโบ๊ท เจ็ทสกี หรือขึ้นพาราเซลเพื่อชมทัศนียภาพของเกาะในมุมที่แตกต่าง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการตกปลาน้ำลึกที่นี่ก็มีปลามากมายหลายพันธุ์ให้จับ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องปล่อยกลับคืนสู่ทะเลตามกฎหมายคุ้มครองสิ่งแวดล้อม จึงเก็บได้เพียงแต่ภาพถ่ายเท่านั้น ส่วนการเล่นกระดานโต้คลื่นมีเฉพาะรีสอร์ทใกล้ ๆ กับมาเลเท่านั้น 









      รีสอร์ทบางแห่งมีบริการพานักท่องเที่ยวไปชมวิถีชีวิตอันเรียบง่ายของชาวประมง ที่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้อย่างลงตัว สนนราคานั้นขึ้นอยู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยวซึ่งแต่ละแห่งจะคิดราคาแตกต่างกัน การค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับที่พักในมัลดีฟส์ก่อนเดินทางจะช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถได้ที่พักที่ถูกใจ 



วีซ่า 


มัลดีฟส์ให้วีซ่าแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไปฟรีเป็นเวลา 30 วัน 


การเดินทาง

ต้องเดินทางมายังสนามบินนานาชาติมาเลเป็นอันดับแรก ก่อนจะเดินทางต่อไปยังเกาะต่าง ๆ โดยต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 10 ดอลล่าร์สหรัฐ 



ภูมิอากาศ

ช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับเดินทางมาเที่ยวมัลดีฟส์มากที่สุดคือระหว่างเดือนธันวาคมถึงเมษายน ช่วงเดือนพฤษภาคมถึงพฤศจิกายนจะเข้าสู่ช่วงฤดูฝนและอากาศไม่แจ่มใส ท้องฟ้ามีเมฆมากแต่อากาศยังอบอุ่นและสบาย 



อาหาร

อาหารทะเลเป็นเมนูหลักของมัลดีฟส์ เช่นเดียวกับเมืองท่องเที่ยวตามหมู่เกาะต่าง ๆ และที่นี่ยังได้รับอิทธิพลเรื่องอาหารการกินมาจากอินเดียด้วย เมนูที่ไม่ควรพลาดคือแกงกระหรี่ปลา 



ที่พัก

รีสอร์ทในมัลดีฟส์ต่างสร้างขึ้นให้กลมกลืนกับธรรมชาติ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการหลีกหนีจากความทันสมัย แต่ยังคงความอบอุ่นและสะดวกสบาย 



ระบบเงินตรา

สกุลเงินของมัลดีฟส์คือรูฟิย่า รีสอร์ทส่วนใหญ่คิดราคาค่าที่พักเป็นเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐ และหลายแห่งยินดีรับชำระด้วยบัตรเครติด 



ภาษา 

ภาษาประจำชาติคือดีฟไฮ แต่พนักงานรีสอร์ททุกแห่งสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ และบางแห่งมีพนักงานที่สามารถพูดภาษาอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมัน และญี่ปุ่นได้อีกด้วย 






ขอบคุณข้อมูล

BaBy Dog

BaBy Dog